วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

พระพุทธบาทสี่รอย



บทนำ
มีอยู่วันหนึ่ง ผมได้พาภรรยาไปเที่ยวที่จังหวัดนครนายก แล้วก็แวะรับทานอาหารที่ร้าน ครัวคุณรัช ที่ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ระหว่างรับทานอาหาร มีหนังสือเล่มหนึ่งวางไว้ที่โต๊ะ ตอนแรกนึกว่าเป็นของลูกค้าคนอื่นลืมไว้ ตั้งใจจะหยิบมาดูแล้วคืนไป พอพลิกดูปรากฏว่าเป็นหนังสือของทางร้านไว้ให้อ่านเล่น คือหนังสือ ตำนานพระพุทธบาทสี่รอย อ่านแล้วรู้สึกชอบและตั้งใจจะไปนมัสการให้ได้ จึงขอหนังสือจากทางร้านไว้ แล้ววันหนึ่งก็มีโอกาสไปนมัสการจริงตามที่ได้ตั้งใจไว้ จึงอยากจะเผยแพร่ให้ผู้สนใจต่อไปอีก........
พระพุทธบาทสี่รอย อยู่ที่ วัดพระพุทธบาทสี่รอย หมู่6 ตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อหาในเรื่องตำนานของบทความนี้ นำมาจากหนังสือ พระพุทธบาทสี่รอย(ตำนานฉบับล้านนาไทย) ซึ่งจัดพิมพ์โดย คณะศรัทธาธรรม และ กองทุนดอกบัวกลางน้ำ และเนื้อหาบางส่วนในการเดินทางที่ผมเขียนเองบ้าง นำมาปะติดปะต่อจากเว็บไซด์อื่นบ้าง รวมทั้งเขียนขึ้นเองตามความเข้าใจบ้าง หากผิดพลาดหรือเป็นการล่วงเกินใดใด กระผมขออภัยมา ณ.ที่นี้ และขอได้โปรดช่วยกันต่อเติมแก้ไขให้ถูกต้องด้วยนะครับ ทั้งนี้กระผมมีใจบริสุทธิ์ ที่จะเชิญชวนให้ท่านเดินทางไปนมัสการ และเผยแพร่ พระพุทธบาทสี่รอยให้เป็นที่รู้จักสืบไป.......
.....ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนช่วยเผยแพร่ในครั้งนี้....และขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้เดินทางไปนมัสการ หรือเกิดความเคารพศรัทธามา ณ ที่นี้

ประวัติ
นานแสนนาน นับกันเป็นล้านๆปีก็ยังน้อยไป นานชนิดที่ไม่มีเลขศูนย์ให้เติมในหน้ากระดาษ คิดเอาแล้วกันว่านานขนาดไหน นับเป็นหลายๆมหากัป ได้มีการกำเนิดจักรวาลขึ้น โดยกันรวมตัวของมวล อันมหาศาล อัดแน่นขึ้น จนไม่สามารถอัดแน่นต่อไปได้อีก จึงได้เกิดการระเบิดขึ้น เรียกโดยประมาณว่า เกิดการระเบิดดับเบิลซุปเปอร์โนวา ทำให้มวลทั้งหลายแตกกระจายอย่างรุนแรง ก้อนไหนมีมวลมากหน่อย ก็ดูดมวลใกล้ๆไว้ เมือมีมวลมากก็สามารถดูดรวมตัวกับเศษมวลต่างๆได้มากขึ้นไปอีก เมื่อมีมวลมากก็เกิดการอัดแน่น แต่ไม่แน่นจนระเบิดออกอีกเพราะมีขนาดเล็กกว่า เพียงกลายเป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง ในการระเบิดแต่ละครั้งก็จะทำให้เกิดดวงอาทิตย์มากมายมหาศาล ดวงอาทิตย์แต่ละดวงก็มีดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารไม่เท่ากัน ในจำนานดวงอาทิตย์หลายๆดวงนี้มีดวงอาทิตย์เพียงไม่กี่ดวงที่มีดาวเคราะห์ซึ่งมีความเหมาะสมในการเกิดสิ่งมีชีวิต เช่นโลก คือมีดวงจันทร์ หมุนรอบทำให้แกนโลกไม่เปลี่ยนไปโดยง่าย จึงทำให้โลกมีฤดูที่แน่นอน มีอุณหภูมิเหมาะสม มีอากาศเหมาะสม มีธาตุต่างๆเหมาะสม จึงทำให้สามารถเกิดมีสิ่งมีชีวิตขึ้น แล้ววิวัฒนาการพัฒนาเรื่อยๆมาจนเป็นมนุษย์ในที่สุด
ในการเกิดโลกแต่ละใบ นั้น บางครั้งมีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจนกลายเป็นมนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าระดับหนึ่งขึ้นแล้วก็เกิดมีเหตุแห่งการศูนย์สลายของสิ่งมีชีวิต อาจจะเกิดจากอุกาบาตร ระเบิดภูเขาไฟ มหาสงคราม หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วก็วนเป็นวงจร วิวัฒนาการมีการเกิดของสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกหลายครั้งในโลกหนึ่งใบ โลกบางใบก็มีการวิวัฒนาการในการเกิดเพียงครั้งเดียวก็มี บางใบก็มีวงจรการเกิดหลายรอบในการเกิดโลกแต่ละใบ นั้นแสนยากยิ่งนัก สิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์ที่เกิดมาแต่ละยุดก็มีขนาดต่างๆกันไป และอายุไม่เท่ากันอีก บางยุดอายุเฉลี่ยของคน สี่หมื่นปีบ้าง สามหมื่นปีบ้าง สองหมื่นปีบ้าง แปดสิบปีบ้าง และโลกแต่ละใบนั้นบางใบมีพระพุทธเจ้ามาเกิด บางใบไม่มีพระพุทธเจ้า หรือบางใบมีพระพุทธเจ้ามากบ้างน้อยบ้าง สูงสุดไม่เกินห้าองค์
การที่จะมีพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ นั้นจะต้องมีผู้ที่อธิฐานและสะสมบารมีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆทุกชาติจนกว่าบารมีจะครบ อย่างน้อยก็ใช้เวลา 20 อสงไขยขึ้นไป ถ้าจะนับเป็นชาติก็เรียกว่านับกันไม่ถ้วน ขนาดเอากระดูกของคนที่มาเกิดเพียงคนๆเดียวในแต่ละชาติรวมๆกันไว้ ยังกองสูงยิ่งกว่าภูเขาซะอีก
ในบรรดามนุษย์ที่มีมากมายมหาศาลนั้น มีกลุ่มคนอยู่ส่วนหนึ่งจะเป็นใครก็ได้ อธิฐานจิตไว้ว่าปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็เริ่มสะสมบารมีที่ละชาติ ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนใจยกเลิกกลางคันก็มีมากมาย ส่วนใครมีความตั้งใจจริงจึงจะสะสมบารมีให้ครบ 30 ทัศ แล้วก็จะได้เป็นพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะเหตุ ที่การเกิดอุบัติบังเกิดขึ้นของอัจฉริยบุคคลอันดับหนึ่งของจักรวาล เฉกเช่นพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นย่อมเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุแห่งเงื่อนไขเวลา จิตใจ ข้อจำกัด และระยะกาลอันยืดยาวจนเหลือที่จะนับได้อย่างนี้ จึงมีสรรพชีวิต เพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น ที่จักสามารถอดทนอดกลั้น ฟันฝ่าอุปสรรค ความยากลำบากและความทุกข์ทรมานในนานาประการ สร้างสมไตรทศบารมีทั้ง 30 ทัศ จนสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังคำว่า
“กิจโฉพุทธานะมุปปาโท” หรือ “การ บังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาได้ยากยิ่ง”
โลกทั้งหลายแต่ละใบ ก็มีพระพุทธเจ้าไม่เท่ากัน คือ
เอโก พุทโธ สารกัปเป มัณฑกัปเป ชินา ทุเว
วรกัปเป ตโย พุทธา สารมัณเฑ จตุโร พุทธา
ปัญจ พุทธา ภัททกัปเป ตโต นัตถาธิกา ชินา
โลกที่มีพระพุทธเจ้า หนึ่งองค์ แล้วแตกสลายไป เรียกว่า สารกัป
โลกที่มีพระพุทธเจ้า สององค์ แล้วแตกสลายไป เรียกว่า มัณฑกัป
โลกที่มีพระพุทธเจ้า สามองค์ แล้วแตกสลายไป เรียกว่า วรกัป
โลกที่มีพระพุทธเจ้า สี่องค์ แล้วแตกสลายไป เรียกว่า สารมัณฑกัป
โลกที่มีพระพุทธเจ้า ห้าองค์ แล้วแตกสลายไป เรียกว่า ภัทรกัป
โลกที่ พระพุทธเจ้า มากกว่าห้าองค์ นั้นไม่มี
ในห้วงเวลาที่นานแสนนานดังกล่าว ได้เกิดโลกและแตกดับมาแล้วหลายใบ และรวมมีพระพุทธเจ้าผ่านมาแล้วทั้งหมดทั้งสิ้น 28 องค์ ทั้งนี้รวมในโลกที่เรามีอยู่นี้ด้วย ซึ่งเฉพาะโลกของเรานี้มีพระพุทธเจ้ามาแล้ว สี่พระองค์ องค์ปัจจุบันนี้ เป็นองค์ที่สี่ ทรงพระนามว่า สมณโคดม และยังเหลืออีกหนึ่งองค์ที่จะมาเกิดในอนาคต คือพระศรีอริยเมตไตรย แต่ต้องรอให้สิ่งมีชีวิตในยุคปัจจุบันนี้ล่มสลายลงไปก่อน เริ่มวงจรใหม่แล้วจึงเกิดวิวัฒนาการเป็นมนุษยขึ้นมาใหม่ แล้วจึงจะมีพระศรีอารยเมตไตรย เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ห้า แล้วสุดท้ายโลกนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆไปในที่สุด...........ย้อนไปในอดีต นานแสนนาน นับได้ถึง92 กัปล่วงมาแล้ว คือนานมากหลายล้านปี มากๆๆๆๆ คิดเอาว่าขนาดไหน ไม่รู้ว่าเป็นโล
กใบไหน ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง(ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) มีนามว่า พระวิปัสสี สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกใบหนึ่ง เพื่อมาโปรดเวไนยสัตว์ เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี่แหละ พระองค์ทรงมีพระภิกษุสาวกมากมาย จึงได้มีการแต่งตั้งพระรูปหนึ่งเป็นพระสังฆนายก มีหน้าที่ปกครองพระภิกษุสงฆ์ แต่พระสังฆนายกผู้นี้มีจิตใจคิดโลภ โดยแสวงอยากหาปัจจัยทั้งสี่ ได้แก่ จีวร (เครื่องนุ่งห่ม) บิณฑบาท(อาหาร) เสนาสนะ(ที่อยู่อาศัย) และคิลานะปัจจัย(ยารักษาโรค) คือปัจจัยดังกล่าวทางสงฆ์ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ
ท่านผู้ใดอยากได้บุญมาก ก็ให้ถวายสังฆทานอันมี ปัจจัยทั้งสี่เช่น 1 จีวร เช่น ผ้าไตร 2 บิณฑบาต เช่น อาหาร (ถวายอาหารใส่ปิ่นโตก็ได้ ) 3เสนาสนะ ที่อยู่อาศัย(ใช้เป็นปัจจัยเงินในการร่วมสร้างอุโบสถ เป็นต้น) 4 คิลานะปัจจัย(ให้เป็นกล่องยาสามัญประจำบ้าน ก็ได้) อย่าลืมไปถวายเป็นสังฆทานก่อนเพล นะ เพราะมีอาหารอยู่ด้วย ถือว่าได้ให้ปัจจัยสี่ อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสงฆ์ จะได้บุญมาก เหลือคณานับ..................
ท่านพระสังฆนายกองค์นั้นได้ออกคำสั่งเป็นอุบายให้สงฆ์ทั้งหลาย เอาปัจจัยสี่ ที่เขานำมาถวาย มาให้แก่วัดของท่าน โดยอ้างว่าเพื่อที่จะได้นำมาถวายทานแก่พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายต่อไป เมื่อพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ได้รับคำสั่งแล้ว จำเป็นต้องปฏิบัติตามด้วยความลำบากใจ ด้วยจิตใจอันโลภของสังฆนายกนั้น ถือว่าเป็นกรรมหนักที่ได้เบียดเบียนปัจจัยสี่ของสงฆ์ เมื่อมรณภาพไปแล้ว ก็ได้ตกนรกหมกไหม้อยู่ในอบายภูมิทั้งสี่ อยู่แสนนาน กระนั้นก็ยังไม่หมดกรรม ต้องมาเกิดเป็นเปรต มีรูปร่างเป็นแท่งหินหรือศิลา พูดจาอะไรไม่ได้ ได้รับทุกข์ทรมานมากและจะต้องเป็นเปรตอยู่อย่างนั้นนานแสนนาน หลายล้านปีก็ยังไม่หมดกรรม
นับแต่นั้นมา อีกหลายกัป ลุมาถึงพระพุทธเจ้าองค์ที่หนึ่งของโลกใบนี้ คือพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ก้อนศิลาเปรตดังกล่าวไม่รู้ว่าบังเอิญหรือมีอภินิหารใด จึงได้ตกลงมาสู่โลกของเราใบนี้ พระพุทธเจ้าองค์นี้ ได้เล่งเห็นศิลาเปรตนั้น จึงได้เมตตามาโปรด โดยการประทับรอยพระบาทลงที่ศิลาเปรตนั้นเป็นรอยแรก พร้อมตรัสสอนศิลาเปรตนั้นว่า อัปปะกิจโจ อัปปะกิจโจ หมายถึง นักบวชควรทำตนเป็นผู้มีภารกิจน้อย โดยให้ศิลาบริกรรมคาถาดังกล่าวไว้อยู่อย่างนั้น กรรมหนักมากพระพุทธเจ้ามาโปรดก็ยังไม่หมด จนกระทั้งหมดยุดของพระพุทธเจ้า กกุสันโธ
ต่อมาอีกหลายกัป โลกใบเดิมเรานี่แหละ ซึ่งนานมากไม่รู้จะนับว่านานยังไงแล้ว เริ่มมีวงจรชีวิตของมนุษย์ใหม่ จนก็มาถึงยุดของพระพุทธเจ้าองค์ที่สองของโลกใบนี้ทรง มีนามว่าพระพุทธเจ้าโกนาคมโน พระพุทธเจ้าโกนาคมโนก็ทรงเสด็จมาโปรดศิลาเปรตนี้เช่นเดียวกัน โดยประทับรอยพระพุทธบาทที่ศิลาเปรตนั้น เป็นรอยที่สองซ้อนไปในรอยแรกซึ่ง
มีขนาดเล็กกว่า และทรงให้ศิลาเปรตนั้น บริกรรมคำว่า สัลละหุกะวุตติ เพื่อจะได้ช่วยให้หลุดพ้นจากการเป็นเปรตในภายภาคหน้า แต่ศิลาเปรตก็ยังไม่หมดกรรม
อีกเช่นเคย ล่วงเลยถึงยุดต่อมา คือพระพุทธเจ้าองค์ที่สามของโลกเรานี้ ความจริงแล้วกว่าที่จะมีพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นั้นเว้นช่วงกันนานมาก น่าสงสารศิลาเปรตนั้นจริงๆ พระพุทะเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธเจ้ากัสสโป และก็ทรงมาโปรดประทับรอยที่สามซ้อนไป ซึ่งเป็นรอยเล็กกว่าสองรอยแรกอีกเช่นกัน โดยให้ศิลาเปรตบริกรรมคำว่า อัปปะคัพโภ อัปปะคัพโภ ขนาดพระพุทธเจ้ามาโปรดถึงสามพระองค์แล้วก็ยังไม่หมดกรรม ยังใช้กรรมต่อไปอีก
เข้าสู่ยุดปัจจุบัน
คือยุคของพวกเรานี่แหละ ได้มีพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ของโลกใบนี้นามว่า พระพุทธเจ้าโคตโม หรือพระสมณะโคดม ได้เสด็จมาโปรดตามสถานที่ต่างๆ พร้อมด้วยพุทธสาวก 500 รูป มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอานนท์เป็นต้น จนกระทั้งเสด็จมาปัจจันตประเทศ คือประเทศไทยเรานี่แหละ ถึงเทือกเขา เวภารบรรพต ได้แวะเสวยจังหันอยู่บนเขาแห่งนี้ เมื่อเสวยเสร็จ พระองค์ได้ตัรสกับอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ก้อนศิลาอันงามวิเศษที่เป็นเหตุโปรดสัตว์ทั้งหลายยังมีปรากฏอยู่
พระอานนท์จึงทูลว่า ก้อนหินนี้มีรอยพระพุทธบาทใหญ่สามรอยงดงามยิ่งหนัก เหมือนรอยพระพุทธบาทของพระบรมศาสดา พระพุทธเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ ก้อนศิลานี้มิใช่ศิลาแท้จริงดอก แต่เป็นก้อนอสุรา ที่กลับกลายเป็นก้อนศิลา ศิลานี้เคยเป็นพุทธสาวกในพระพุทธเจ้านามว่า วิปัสสี สมัยนั้นท่านเป็นสังฆนายก ถืออำนาจบาตรใหญ่ บังคับเอาของสงฆ์อื่น ตนเองเป็นภิกษุ แต่มักมาก......จึงทำให้เกิดเป็นศิลาเปรตในบัดนี้ พระพุทธเจ้าทั้งสามองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาลได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ ทุกพระองค์ และแม้แต่พระศรีอริยเมตไตรย ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทนี้ และจักประทับรอยสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว
เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จแล้ว ก็ทรงเสด็จประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาททั้งสามรอยเป็นรอยที่สี่โดยมีขนาดเล็กกว่า แล้วทรงอธิฐานว่า เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาจะนำเอาพระธาตุของพระองค์มาบรรจุไว้ ณ ที่นี้ และเมื่อล่วงไปแล้ว 2000 ปีล้ว พระพุทธบาทสี่รอยนี้ จักปรากฏแก่ปวงมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย...............
ต่อมาภายหลัง ประมาณ สองพันปีหลังปรินิพพาน ก็มีเหยี่ยว บินมาจากเขาเวภารบรรพรต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอย บินมาจับลูกไก่ของชาวบ้านแถวนั้นแล้วนำไปสู่ยอดเขา พรานป่าที่เป็นชาวบ้านแถวนั้น โกรธมาก จึงตามเหยี่วขึ้นไป เมื่อไปถึงก็พบพระพุทธบาทสี่รอย พรานป่าจึงทำการสักการบูชาแล้วนำข่าวมาบอกชาวบ้าน ซึ่งแถวนั้นจึงเรียกว่าพระบาทรังรุ้ง(รังเหยี่ยว)
ในหนังสือตำนานยังกล่าวอีกว่า พระยาธรรมช้างเผือกผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้เสด็จมาสักการะ และสร้างวิหารครอบไว้ ต่อมาพระชายาเจ้าดารารัศมี ได้สร้างวิหารเพื่อเป็นการสักการะอีก นอกจากนี้ หนังสือโบราณ “คำให้การของขุนหลวงหาวัด”บันทึกรับสั่งของเจ้าฟ้าอุทุมพร(ขุนหลวงหาวัด)ได้กล่าวไว้ว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเสด็จมาสักการะ ทรงเปลื้องเครื่องทรงทั้งสังวาลและภูษาถวายไว้ในรอยพระบาท และทำการสักการบูชาด้วยธง ธูปเทียน ข้าวตอกดอกไม้ ทำพิธีสมโภชอยู่ถึงเจ็ดราตรี
คำยืนยันจากเกจิอาจารย์ต่างๆ
พระธุดงค์หลายสายได้เดินทางมานมัสการพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้เช่น ครูบาศรีวิชัย(ต่อมาสร้างวิหารครอบไว้)และพระธุดงค์ในสายของท่านเช่น ครูบาน้อย ชยวังโส วัดบ้านปง ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี ฯลฯ
พระธุดงค์สายหลวงปู่มั่น ได้แก่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่ตือ วัดป่าอรัญญวิเวก หลวงปู่เทสก์ วัดหินหมากเป้ง หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่สิม พุทธจาโร ฯลฯ เป็นต้น
โดยหลวงปู่ตือท่านกล่าวยืนยัน ว่าเป็นรอยพระพุทธบาทในมหาภัทรกัปนี้โดยแท้ และหลวงปู่สิม พุทธาจาโรได้เทศนาตอนหนึ่ง(คัดลอกมาจากหนังสือพุทธาจารานุสรณ์ ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร พ.ศ.2536) “ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระพุทธบาทสี่รอยอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขา หลวงปู่เทศน์ไปดูแล้วไปกราบไหว้ มันเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยมขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดหินก้อนนั้น ยาวขนาด 12 ศอก เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว พระพุทธเจ้าโกนาคมโน ก็มาตรัสรื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพานท่านได้มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้เป็นรอยที่สอง(ขนาด)ลดลงมา มาถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโปมาตรัสรู้ ท่านก็มาเหยียบไว้ ได้สามรอย และพระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ ก่อนที่ท่านจะนิพพานก็เหยียบรอยพระบาทไว้ในหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่าพระพุทธบาทสี่รอย ยังมีพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาตรัสรู้แล้วโปรดเวไนยสัตว์ ก็มาเหยียบไว้อีก เรียกว่าแผ่นดินที่เราเกิดมานี้นับว่าเป็นแผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด แผ่นดินนี้ เรียกว่า ภัทรกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงห้าพระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ใดตรัสสอนก็ตาม ก็สอน ให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลายบำเพ็ญทาน รักษาศิล ภาวนา ละกิเลสความโลภ ความหลง อันเก่านี้แหละ เมื่อใดปฏิบัติภาวนาบารมีเต็มแล้ว ก็รู้แจ้งพระนิพพาน เมื่อรูปนามแตกดับไปแล้วไปสู่พระนิพพานไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกอันแสนทุรกันดารนี้อีกต่อไป”
ยิ่งกว่านี้ พระคุณเจ้าหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ก็ยังได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธบาทสี่รอยไว้อีกเป็นอันอเนกปริยาย เป็นหลายครั้งหลายวาระด้วยกัน ซึ่งล้วนเป็นเหตุให้นามและเกรียติคุณของบริโภคเจติยสถานแห่งนี้ ยิ่งสถิตลงมาอย่างมั่นคง ณ ส่วนลึกแห่งจิตศรัทธาของมหาชนอย่างหาประมาณมิได้ตราบจนเท่าถึงปัจจุบันนี้อีกด้วย อาทิเช่น
“ รอยพระพุทธบาทนี้ เป็นรอยที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเหยียบพระบาทไว้จริง......”
“รอยพระบาทที่จังหวัดสระบุรีเป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคดมองค์ปัจจุบันองค์เดียว แต่ที่พระบาทสี่รอยนั้นเป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าถึงสี่พระองค์ ไหว้พระบาทสี่รอยครั้งหนึ่งก็เท่ากับได้ไหว้พระพุทธเจ้ารวดเดียวถึงสี่พระองค์นั่นแหละ....”
และที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ
“...การที่ได้ไปกราบ ไปไหว้ ไปทำบุญ นั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนาที่พระบาทสี่รอยนี้ จะทำให้ได้บุญเพิ่มมากขึ้น สี่เท่าเลยทีเดียวนะ...”
หลวงพ่ออุตตมะ ท่านยังได้ย้ำหนักแน่นในที่สุดด้วยว่า ”พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นรอยพระบาทที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับไว้ด้วยพระองค์เองจริงๆ นะ......” และอื่นๆอีกมากมาย.....................
เมื่อพระศรีอริยเมตไตรยมาประทับรอยพระบาทที่ศิลานี้แล้ว รอยพระบาททั้งสี่ก็จะรวมเป็นรอยเดียว แล้วภายหลังก้อนหินนี้ก็จะแตกสลายลง บังเกิดเป็นมนุษย์ขึ้น ซึ่งมนุษย์คนนี้จะได้บวชในพุทธศาสนา สำเร็จมรรคผลนิพพานในสมัยพระศาสดาแห่งพระศรีอริยเมตไตรยต่อไป
พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นหลักฐานยืนยันการมีของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ ทีได้ประทับรอยไว้ และเป็นเครื่องยืนยันคำทำนาย การมีพระศรีอริยเมตไตรยในอนาคตกาล จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งแห่งจักรวาล ที่สามารถอยู่ล่วงผ่านกาลเวลามาได้จนทุกวันนี้ ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง เป็นที่เคารพของเทวดาทั่วจักรวาล ที่สำคัญนั้นยังอยู่ในประเทศไทยเราด้วย ท่านทั้งหลาย จงหาโอกาสอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิตไปนมัสการให้จงได้เถิด
การเดินทางไปวัดพระพุทธบาทสี่รอย
สมัยก่อนคงจะลำบากแน่นอน เพราะคงเดินเท้าอย่างเดียว เป็นทางที่ต้องขึ้นเขาลงเขาชันพอสมควร สมัยนี้รถยนต์สามารถไปถึงได้แล้วครับ เป็นทางลาดยางในช่วงแรก และเป็นทางคอนกรีตขนาดเล็กพอรถสวนกันได้ในช่วงก่อนถึงตามแนวเขา ยาวไปจนถึงวัดเลยละ ผมใช้รถเล็ก new vios ก็สามารถไปได้อย่างสบาย แต่ก็ไม่หมูนะครับ โดยเฉพาะ ช่วง 12 กิโลเมตรสุดท้าย ทั้งชันทั้งโค้ง ต้องระวังตอนรถสวน ตอนผมไปก็ประมาณสิบนาทีมีรถสวนสักคันหนึ่ง แต่ก็พอมีรถสวน นานๆเจอสักคัน ยังไงก็คอยบีบแตรเตือนตามป้ายที่เขาให้บีบแตรก็แล้วกัน รถผมเป็นเกียร์ออโต้ ช่วง12กิโลก่อนถึงวัดต้องใช้เกียร์ L สลับกับ D2 เท่านั้น ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดา ก็ใช้แค่เกียร์ 1เกียร์2เท่านั้น แนะนำว่าอย่าบรรทุกหนักแล้วกัน ถ้าเป็นรถ 4 Wแล้วสบายมากหายห่วง ไปได้เฉพาะรถเล็กนะครับขอบอก เรื่องหลงนั้นคงจะยาก เพราะถ้าเริ่มเลี้ยวซ้าย(ออกจากเชียงใหม่ไปแม่ริม) ออกจากถนนเส้น 107 สายเชียงใหม่ – แม่ริม – แม่แตง – เชียงดาว แล้วมีป้ายบอกไว้แทบทุกแยกเลย เรียกว่ามีป้ายบอกทางกันละเอียดยิบนั่นแหละแต่ป้ายขนาดเล็กสังเกตุให้ดี สำคัญตอนจะเลี้ยวซ้ายออกจากถนนสาย 107 ไม่มีป้ายบอกเท่าไร สามารถเหลี้ยวซ้ายได้ สองเส้นทาง แล้วจะไปบรรจบกันเอง เพราะทางขึ้นเขามีอยู่ทางเดียวเท่านั้น ผมไปครั้งแรก เลี้ยวซ้ายโค้งแรกแล้ว วิ่งตามป้ายถึงเลยครับไม่ยาก เริ่มต้นเดินทางกันดีกว่าครั

เริ่มต้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ นับจากกำแพงเมืองทางทิศเหนือเป็นจุดเริ่มต้น เริ่มเข้าสู่ถนนช้างเผือก วิ่งตรงไปอย่างเดียว คือเส้นเชียงใหม่ แม่ริม หรือเรียกว่าถนนทางหลวงหมายเลข 107 วิ่งไปประมาณ 20 กิโลเมตร ก็จะถึงแม่ริมเหนือ ทางซ้ายจะมีซอยไม่ใหญ่มากนัก สังเกตให้ดี มีป้ายเล็กๆที่เสาไฟ บอกให้เลี้ยวซ้ายไป พระพุทธบาทสี่รอย พอเลี้ยวซ้ายไปแล้ว มีป้ายเล็กบอกทางไปวัดพระพุทธบาทสี่รอย ตลอดทางเลย ไม่ต้องกลัวหลง จากปากทางถึงวัดเป็นระยะทางประมาณ35กิโลเมตร คตไปเคี้ยวมา แต่ทางดีใช้ได้ มีหมู่บ้านคนอยู่อาศัยตลอด ระหว่างทาง คุณจะผ่าน วัดเจดียสถาน วัดสะลวง วัดประกาศธรรม วัดสันป่ายาง วัดหนองก๋าย ให้จับจุดป้ายบอกทางไปวัดหนองก๋ายก็ได้ เพราะ จากวัดหนองก๋ายไปวัดพระบาทสี่รอย ห่างกันเพียง 17กิโลเมตรเท่านั้น สำคัญช่วงที่เป็นถนนคอนกรีต 12 กิโลเมตรก่อนถึงวัด เป็นช่วงขึ้นเขาขับช้าๆเดี่ยวก็ถึงครับ.................

สมมุติว่าคุณออกจากเชียงใหม่ ขึ้นมาทางแม่ริม เส้น107 เส้นเดิม แล้วคุณขับเพลินเลยป้ายหรือมองไม่เห็นก็แล้วแต่ คุณก็ขับไปเข้าได้อีกทาง คือช่วงก่อนเข้าอำเภอแม่แตง 11 กิโลเมตร เมือเลี้ยวเข้าไปแล้วทางจะไปบรรจบกับเส้นแรก แถวๆวัดสันป่ายาง ประมาณนั้น ......................................
ทางเข้าที่สองนี้ให้สังเกตุปั๊มน้ำมัน PURE สีน้ำเงินขวามือครับ เห็นปั๊มแล้ว...ขับเบาๆติดซ้ายหน่อย ทางเลี้ยวซ้ายอยู่ตรงข้ามปั๊มเห็นป้ายแล้ว...วัดพระพุทธบาทสี่รอย เลี้ยวซ้ายเข้าไปเล้ยตามทางไปเรื่อยๆ 6.7 กม. ซ้ายมือผ่าน อนามัยบ้านสะลวงนอก ดูป้ายครับดูป้ายตามทางไปอีก มาได้200 เมตร อ้าวโผล่สามแยกซะแล้ว......เลี้ยวขวาเท่านั้นครับเข้าสู่เขตบ้านกาดฮาวไปอีก 300 เมตร บังคับเลี้ยวซ้ายไปตามทางใหญ่ (จาไปตามทางเล็กตรงๆเข้าไปก็แล้วแต่ รับรอง หลง อิๆ) 1.3 กม.ผ่านไปก็เจอ รร บ้านกาดฮาว ......ต่อ........ไปต่ออีกครับ 1.5 กม เห็นวัดสันป่าตึงอยู่ซ้ายมือไหม นั่นๆๆเลี้ยวซ้ายถนนเล็กข้างวัด(ติดวัด-ก่อนถึงวัด)เข้าไปเลย ตามทางไปอีกครับท่าน....กิโลเดียวครับอีกกิโลเดียว ถึงวัดหนองก๋าย ...(จุดเริ่มในการเดิน ในประเพณีเดินขึ้นพระพุทธบาทสี่รอย)ถึงวัดหนองก๋ายได้ก็หลงยากแล้วครับแวะไหว้พระซักหน่อยแล้วไปต่อเลาะถนนไปเรื่อยๆ 1.4 กม อ้าวสามแยกอีกละ เลี้ยวขวานะครับ ถ้าเลี้ยวซ้ายออก...ปิ๊กบ้าน เผลอๆหลงเริ่มขึ้นเขาลงห้วยหน่อยๆแล้ว แต่ทางเดี๊ยวนี้สบายลาดซีเมนต์ทั้งหมด เมื่อก่อนหน้าฝนลาดโคลน หน้าแล้งลาดฝุ่นไปเรื่อยๆครับอย่าขับเร็วมากเห็นป้าย "รถสวนกดแตร" รถนารถไร่กดไรหว่า???2.7 กม.จากสามแยกที่ผ่านมาตอนนี้เราผ่านบ้านห้วยส้มสุกแล้วครับ เริ่มเหยียบต่อไปอีก 3.8กม สามแยกอีกละ สามแยกเมืองก๊ะ (ทางเข้าขุนหลวงวิลังก๊ะ...เรื่องมันยาวเอาไว้โม้ทีหลัง) เลี้ยวขวาเลย....ไปอีก...8.7 กม.จากสามแยกนี้ก็ถึงพระบาท 4รอยครับผม....งงไหม??
อ่านแล้วไม่ต้องงงนะครับ ถึงเวลาไปจริงๆ มีป้ายบอกทางไปวัดพระบาทสี่รอยตลอดทางเลย หรืออ่านป้ายไปวัดหนองก๋ายก็ได้ ทางเดียวกัน ขอบอก ไปง่ายไม่ต้องจำอะไรมากให้ปวดหัว


คำไหว้สักการบูชาพระพุทธบาทสี่รอย
สาธุ สาธุ สาธุ ข้าพขอวันทานมัสการเจดีย์ และรอยพระบาทของพระชินธาตุเจ้าทั้งหลาย
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่ากะกุสันโท โกนาคะนะโน กัสสะโป และพระสิทธัตถะโคตะโม
ที่ประดิษฐานตั้งไว้ ณ ภูเขา เวภารบรรพตนี้ ตลอดกาลนานเทอญ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ